ยินดีต้อนรับสู้เว็บบล็อกของพรเทพ สุขเกษม คัฟ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ภาษีรถยนต์

ซื้อรถยนต์ต้องเสียภาษีครับ ซื้อแล้วก็ยังต้องเสียภาษีป้าย ภาษีประจำปี และเวลาเอารถยนต์ที่ซื้อเสียภาษีมาไปวิ่งบนถนนก็ยังต้องเสียภาษีจากการเติมน้ำมันการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลไทย ได้รับการกล่าวขวัญว่าเฉพาะรถยนต์สั่งมาจากต่างประเทศนั้นเก็บแพงยับเยินถึงร้อยละ 300 รถยนต์ที่ซื้อขายกันในประเทศ มีราคาตกคันละ 35 ล้านบาทนั้น คิดราคารถจริงๆ แล้วก็ไม่ถึง 10 ล้านบาท ด้วยตรรกะนี้ โยมทั้งหลายไม่ควรสวดส่งบรรดามหาเศรษฐีที่ซื้อรถราคาแพงเลย ด้วยเพราะเหตุว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้น (They) ได้ช่วยชาติไปส่วนหนึ่งแล้ว คือเสียภาษีขณะนี้มีรายงานข่าวที่น่าเชื่อได้ว่า กระทรวงการคลังกำลังสมคบกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อพิจารณาปรับโครงสร้างจัดเก็บภาษีใหม่ แพงกว่าเดิมประมาณสองเท่า โดยรถยนต์พื้นฐานทั่วไปก็จัดเก็บตามขนาดความจุกระบอกสูบรถ แต่รถที่ซื้อขายกันคันละ 3 ล้านบาทขึ้นไปนั้น จะจัดเก็บทั้งสองวิธี คือทั้งตามขนาด ซี.ซี. แล้วก็ยังเรียกเก็บตามราคาซื้อขายของรถด้วยรถนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง เดิมที 1-600 ซี.ซี. เก็บ 50 สตางค์ต่อ ซี.ซี. โดย 600-1,800 เก็บ 1.50 บาท และ 1,800 ซี.ซี.ขึ้นไป เก็บ 4 บาทต่อ ซี.ซี.โครงสร้างใหม่ไม่เกิน 600 ซี.ซี. เสียภาษี 2 บาท ต่อ ซี.ซี., 600-1,300 เสีย ซี.ซี.ละ 3 บาท, 1,300-1,800 เสีย 4 บาท, 1,800-2,000 เสีย 5 บาท, 2,000-2,400 เสีย 7 บาท, 2,400-3,000 เสีย 9 บาท และ 3,000 ขึ้นไป เสีย ซี.ซี.ละ 12 บาทแน่นอนครับ คิดบวกลบคูณหารแล้ว รัฐบาลจะได้เงินอีกหลายสตางค์เพื่อนำไปพัฒนาประเทศ เดิมที ณ ปัจจุบันนี้รัฐเก็บภาษีได้ปีละ 8 พันล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นส่วนของรถไม่เกิน 7 ที่นั่งประมาณปีละ 2.5 พันล้านบาท สูตรใหม่รัฐจะได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทในปีแรก (คิดเฉพาะรถใหม่)ผลที่ได้ถัดมา รัฐบาลก็มีชัยชนะเหนือเศรษฐีมีสตางค์ที่คิดอ่านซื้อรถแบบสั่งมาจากนอกหรือซื้อตามห้างที่สั่งมาจากนอก เพราะต้องเสียภาษีแพงขึ้นทุกระบบในแง่ความเป็นธรรมต่อสังคมส่วนรวม การจัดเก็บภาษีตามขนาด ซี.ซี. (ลูกบาศก์เซนติเมตร) รัฐถือว่าเป็นธรรมมาก ใครใช้รถที่มีกำลังเครื่องยนต์มากก็เท่ากับว่าทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้ที่ใช้รถยนต์ขนาดเล็ก และรัฐยังคลุมถึงผู้ผลิตรถยนต์ ต่อไปก็ต้องคิดอ่านแต่ผลิตรถยนต์ขนาดเล็กออกมาจำหน่าย ไม่ต้องเปลืองพลังงานแห่งชาติ ลดปริมาณควันพิษ และรักษาสภาพแวดล้อมรถยนต์ในประเทศเคยขายได้อย่างสนุกสนานก่อนฟองสบู่แตก คือในปี 39 ขายได้ทั้งหมด 589,126 คัน เป็นยอดรถยนต์นั่ง 172,730 คัน พอถึงปี 41 เท่านั้น เหลือเพียง 145,065 คัน สำหรับยอดขายรถยนต์ทั้งหมด และเป็นส่วนของรถยนต์นั่งเพียง 46,300 คันเท่านั้น การปรับภาษีนั้น ผมคงไปห้ามอะไรรัฐไม่ได้ แต่การจัดเก็บภาษีรถยนต์นั้น รัฐบาลไม่เคยได้ประกาศ ออกมาให้เห็นชัดเจนแม้แต่สักครั้งเดียวว่า เก็บเอ็งไป 100 บาทเอาไปทำอะไร เพื่อให้เอ็งขับรถแบบ แฮปปี้ มอเตอริ่งมีถนนหนทางที่ราบเรียบไม่กระโดกกระเดก หรือซ่อมกันตลอดชาติ บังคับให้เอ็งเปลี่ยนช่องจราจรโดยกะทันหัน มีเครื่องหมายสัญญาณที่ชัดเจน ป้ายแสดงเส้นทางที่ใหญ่โตอ่านในระยะไกลเห็นถนัด มีเครื่องป้องกันอันตรายจากทางโค้งอันตราย ฯลฯเก็บภาษีทีไร รัฐบาลก็บอกเพียงแต่ว่าเอาไปพัฒนาประเทศ แบบนี้มัน Fair Play หรือเปล่า คะรับทั่น ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น